วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 4

โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

สวัสดีครับนี่ก็เป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วในการเขียนเว็บบล็อกซึ่งสัปดาห์ผมจะพาไปทำความรู้จัก Java

Java คืออะไร ???

            Java เป็นโปรแกรมภาษาที่ถูกพัฒนามาเพื่อรองรับการออกแบบซอฟแวร์ที่มีการเชื่อมโยง Internet อีกทั้งยังเป็นโปรแกรมที่สนับสนุนแนวความคิดของการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือที่รู้จักกันดีที่เรียกว่า OOP (Object-Oriented Programming) โดยมีความสามารถเฉพาะตัวต่างจากโปรแกรมภาษาชั้นสูง อื่น ๆ เช่น หรือ C++ ในเรื่องของการทำงานข้ามระบบปฏิบัติการ หรือ Platform ได้โดยไม่ต้องมีการ compile ใหม่

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ java\

การจัดประเภทของ Java


โปรแกรมที่ถูกพัฒนาด้วยภาษา Java ถูกแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ
1.Java Application – โปรแกรม Java ทั่ว ๆ ไป ที่ทำงานได้ด้วยตัวของมันเอง (Stand Alone Application)
2.Java Applet – โปรแกรม Java ที่ถูกนำไปใช้บน Internet เท่านั้น


ลำดับขั้นการพัฒนากว่าจะมาเป็น Java


            โดยเริ่มแรกในการวิจัยพัฒนาโปรแกรมภาษาดังกล่าว C++ ถูกเลือกใช้ให้เป็นภาษาหลักในการพัฒนา เนื่องจากมีความเป็น OOP อยู่แล้วในตัว แต่แล้วกลุ่มนักวิจัยก็พบว่า C++ มีปัญหาและความไม่เหมาะสมต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น เรื่องของหน่วยความจำที่อาจจะมีเพียงน้อยนิด หรือ ไม่มีเลยในกลุ่มของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่พอกับที่ C++ ต้องการ, เรื่องของระบบปฏิบัติการที่ไม่มีในเครื่องใช้เหล่านี้ หรือไม่ว่าจะเป็นความไม่รัดกุมของภาษาเอง ดังนั้นหนึ่งในกลุ่มนักวิจัย James Gosling ได้คิดค้นภาษาใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีความเป็น OOP, ไม่ขึ้นกับระบบปฏิบัติการ และมีการจัดการเรื่องของหน่วยความจำได้ดี เหมาะสมสำหรับการวิจัยครั้งนี้แล้วให้ชื่อว่า OAK
ภายหลังจากการพัฒนาภาษา OAK ได้สำเร็จ บริษัท Sun ได้นำไปใช้กับบริษัทลูกค้าที่ต้องการพัฒนา Interactive TV ซึ่งเป็นการติดตั้งโปรแกรมลงไปที่กล่องสัญญาณ แล้วต่อพ่วงไปยัง TV เพื่อใช้เป็นตัวควบคุม และติดต่อกับผู้ใช้ แต่โครงการนี้ได้ยุบไปก่อนที่จะพัฒนาสำเร็จ OAK จึงไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย OAK จึงถูกเก็บเอาไว้ในคลังการวิจัยของ Sun
            ต่อมาไม่นาน เมื่อการ Internet และ HTML มีการพัฒนา และเป็นที่นิยมมากขึ้น Sun จึงเล็งการไกลถึงการพัฒนา Internet Application ก็เลยนำ OAK ขึ้นมาแก้ไขปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น Java ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ java


Java ในปัจจุบัน


ปัจจุบัน Java มีการพัฒนาออกมารวม ๆ แล้ว เวอร์ชันหลัก ๆ ด้วยกันดังนี้
Java 1.0 – เวอร์ชันแรกที่ยังคงสนับสนุนโดย Browser ทั่วไป
Java 1.1 – ถูกพัฒนาเพิ่มเติมในเรื่องของ หน้าจอ และ event handling
Java 2 – ล่าสุดที่ออกเวอร์ชันเป็นทดสอบในนาม Java 1.2 และ เสร็จสมบูรณ์ในปี 1998

ทำไมต้องเลือก Java ???

ทำงานอิสระ (Platform Independent)


            มีผู้กล่าวไว้ว่า Java เกิดมาเพื่อการทำงานบน WWW นั่นหมายความว่า Browser จะทำการ download โปรแกรมจาวาจาก server มาทำงานบนโดยตรงอยู่บนเครื่องของผู้เรียกเว็บเพ็จได้เลย โดยไม่คำนึงว่า ระบบปฏิบัติการของผู้ใช้ จะเป็นระบบเดียวกันกับ server ที่ใช้ compile จาวาหรือไม่

ทั้งนี้ ข้อดีของการ Download โปรแกรมมาใช้งานบนเครื่องของผู้ใช้ก็คือ สามารถลดเวลาในการโหลดโปรแกรมมาจาก server ทุกครั้งที่มีการสั่งการ หรือ Interactive ระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมจาวา จึงเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับโปรแกรมจาวาบน Internetเป็นอย่างมาก

ความง่ายของตัวภาษา


          หลักไวยากรณ์ของ Java มีความคล้ายคลึงกับภาษา และ C++ เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่เหมือนกับภาษาใหม่อื่น ๆ ที่ต้องมาเริ่มศึกษาไวยากรณ์กันทั้งหมด อีกทั้งยังตัดความยากหรือความซับซ้อนต่าง ๆ ของภาษา C และ C++ ออกไป โดยใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาแทนที่มากขึ้น จึงทำให้การพัฒนาในเรื่องของหน้าจอ (Interface) ไม่ใช่เรื่องที่ยาก (จะเห็นจากการนำจาวามาพัฒนาในเรื่องของ Animation และ อื่น ๆ ซึ่งจะกล่าวในบทถัด ๆ ไป)

ความปลอดภัย (Security)


            นั่นคือ เมื่อต้องมีการถูก Download ไปใช้อยู่ในที่ต่าง ๆ ภาษาจาวาจึงมีการกำหนดข้อจำกัดบางอย่างขึ้น เพื่อไม่ให้การรันโปรแกรมนั้น ๆ ไปก่อให้เกิดความเสียหายบนเครื่องของผู้ใช้ได้ ดังนั้นจึงสามารถลืมบรรดา Hacker ทั้งหลายที่รักการเขียนโปรแกรมก่อกวนไปได้ในระดับหนึ่ง

ข้อดีของ ภาษา Java

– ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
– โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
-ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
– ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
– ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
-มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ


ข้อเสียของ ภาษา Java

-ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
-tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://nwannika.tripod.com/java/Chapter1.htm


ขอขอบคุณรูปภาพจาก https://blog.newrelic.comhttp://codecondo.com/learn-java-programming-10-ways/




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น